วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปราบอัคคีวงศ์


ตระกูลปราบอัคคีวงศ์ สืบต่อหน้าที่ในการคุ้มกันอัคคีภัยในวังหลวง
มาทุกรัชสมัย จนถึงปัจจุบัน ผู้สืบทอดรุ่นที่ 128 คือ
นาย วารินทร์รักษ์ แต่งงานกับ นาง ทิพย์ธารา

ทั้งสองสามีภรรยา มีบุตร 2 คน ชื่อว่า
นางสาว วารินทร์ทิพย์ ผู้พี่ และ นาย รักษ์ธารา ผู้น้อง
ซึ่งทั้งสองพี่น้อง เป็นหัวหน้ากองควบคุมสาธารณภัย แผนกอัคคีภัย ในเขตบางรัก ซอย 9

ทั้งสองคน ได้ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี
มีความห้าวหาญ ในการดับไฟตามชุมชนต่างๆ จนได้รับรางวัล “ผู้ผจญเพลิงดีเด่น” เกือบทุกปี

พี่สาว วารินทร์ทิพย์ หรือ น้ำใจ ปฏิบัติงานในการต่อสู้กับการดับเพลิงให้ประชาชน
มาหลายครั้งหลายครั้งตลอดที่รับราชการมา

ถึงแม้ว่า เธอจะเป็น ผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยบ่น หรืออิดออดในหน้าที่ที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูง
งานอย่างนี้ไม่ค่อยมีผู้หญิงมาทำกันนัก
เพราะเป็นที่อันตราย และอาจเกิดภาวะกดดันได้ง่าย
จากสภาพของงานที่ยากต่อสภาวะทางร่างกายที่ไม่อดทนเท่ากับผู้ชาย

แต่ น้ำใจ ก็สามารถทำได้ดี 

ถึงแม้บางครั้ง
เธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ผจญเพลิงในสถานที่ที่มีความเสี่ยงเกือบ 100 %
เธอก็เป็น “แนวรับ” ที่ยอดเยี่ยม

ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา รู้สึกว่าเธอมีส่วนสำคัญที่ทำให้
กองงานของพวกเขา ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
จน น้ำใจ ได้รับรางวัลต่างๆ มากมายจากผู้บังคับบัญชา
ในหน่วยงานสังกัดกองงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

“เร็วสิ ตารักษ์ เป็นหัวหน้าคน ต้องทำงานให้กระฉับกระเฉง หน่อยสิ”
“ครับ พี่น้ำ ก็ผมกำลังจะโทร. ไปหาตำรวจ ให้เขาช่วยเรา กั้นผู้คนไม่ให้แตกตื่นนะสิครับ”
น้ำใจ และรักษ์ กำลังจะไปที่เกิดเหตุไฟไหม้ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านบางรักษ์ ซอย 9

“พี่น้ำ มัวทำไรละครับ”
“ก็สวดมนตร์นะสิจ้ะ”

“บท ดับไฟนรกของพระโมคคัลลานะ”
“เถโร โมคคัลลาโน นะระกัตตัง โลหะกุมภี ทิสะวา อัคคิปัตติ กัมปะติ ฯ”

เมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุ น้ำใจ กับ นายรักษ์ น้องชาย
เร่งเข้าไปเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ติดอยู่บนชั้น 2
โดยการใช้กระเช้าขึ้นไปรับ มีเด็ก และคนชราที่เป็นอัมพาต ติดอยู่ที่นั่น

“ช่วยหนูด้วย หนูติดอยู่ในห้องนี้จ้า”
“โห แย่จัง ประตูมีแต่ไฟไหม้ เต็มเลยพี่น้ำ”
“บ่นพึมพำ อีกแล้ว”
“ขอน้ำใส่ขันพี่หน่อยสิ ตารักษ์”

“ครับ พี่น้ำ อย่าบอกนะ ว่าจะใช้..คาถาของปู่ทวด..คาถา ป้องกันไฟ นะเหรอครับ”

“นะ พุทโธ มะหาปัญโญ อานุภาเวนะ
จะ สะมาหิตา สัพพัญญุตะญาโต
อาโปธาตุ นะ”

“เมื่อสวดถึงคำว่า นะ ก็ให้เขียนคำว่า นะ ลงบนน้ำมนตร์ที่สวดแล้วด้วยนะครับ อย่าลืม”

“เอ้า ระวังนะหนูน้อย พี่กำลังจะพังประตูเข้าไปช่วยเราแล้ว”
“ช่วยตาของหนูด้วยนะคะ พี่สาว พี่ชาย”
“ไม่ต้องห่วง พี่สองคนเป็นกองปราบอัคคีที่เก่งที่สุดจ้ะ ไม่ต้องกลัว
เราต้องช่วยหนูและตาของหนูออกไปจากที่นี่ ได้โดยปลอดภัย”
“แต่ตอนนี้ หนูเอาผ้าชุบน้ำพันตัวก่อน แล้วรีบคลานต่ำๆ ออกไปจากห้องนี้ก่อนนะครับ”
“จ้ะ ขอบคุณพี่ทั้งสองมากนะคะ”

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เจ้าหลวง ดาราทิพย์ ประสิทธิ์ภิรมย์

พระนางทรงเป็น เจ้าหลวง
พระองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ล้านตื้อ
ซึ่งมีอำนาจเหนือ ราชอาณาจักรหริกุญชร

พระองค์ทรงมีความเก่งกาจในเรื่อง การรบทัพจับศึก ยิ่งกว่า
กษัตริย์แห่งอาณาจักรอื่น ณ ที่ราบสูง พุกามประเทศ


พระนาง ทรงนิยมชมชอบ การขี่ช้างขี่ม้า และยิงธนู มาตั้งแต่พระชนมายุได้ 10 พรรษา
ผู้ที่มีส่วนในการอบรมให้พระนาง ทรงมีพระนิสัยห้าวหาญ ประดุจชายชาตินักรบ คือ
พระราชบิดาในพระนาง ซึ่งทรงกำเนิดมาจากถิ่นของชนชั้นขุนนาง ที่ควบคุมฝ่ายคชบาล

เดิมทีนั้น เจ้าหลวงพระองค์ก่อน หาใช่ได้สืบพระสันตติวงศ์ตามลำดับ
เหตุเพราะเจ้าผู้ครองนครแห่งนี้ ไร้สามารถอ่อนแอ
จึงถูกประเทศอื่น เข้ามากระทำย่ำยี ทำให้มีอันต้องป่นปี้ย่อยยับดับสูญ

แต่ คนเก่งและคนดี ยังมิสิ้นแดดิ้นไปตาม

ดังนั้น พรรคพวกเหล่าขุนนาง ภายใต้แกนนำของ “ขุนคชาพัฒน์”
จึงพร้อมใจกันลุกฮือ กอบกู้เอกราชกลับคืน
เมื่อได้ชัยชนะ  พระราชบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรหริกุญชร กลับไร้ผู้ครอบครอง

กอปรกับ เจ้าผู้ครองนคร ไม่ทรงได้แต่งตั้ง ผู้ใดให้ดำรงตำแหน่ง “พระอุปราชหอหน้า”

เหล่าข้าราชบริพารในอดีตเจ้าผู้ครองนคร
จึงได้ปราบดาภิเษก “ขุนคชาพัฒน์”
ขึ้นเป็น เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ แห่งราชวงศ์ล้านตื้อ สืบไป
ทรงมีพระนาม ว่า
“เจ้าหลวง คชาพัฒน์ ประสิทธิ์ภิรมย์”

เจ้าหลวง ทรงมิมี พระราชโอรส เลยแม้เพียงพระองค์เดียว
จึงต้องทรงแต่งตั้ง พระราชธิดา คือ เจ้านางดาราทิพย์
ขึ้นเป็น “พระอุปราชหอหน้า”
เมื่อทรงมี พระชนมายุได้ 25 พรรษา

เจ้านางดาราทิพย์ ทรงปฏิบัติพระองค์ ตามแบบอย่างเช่นพระราชบิดา
คือ มิได้ทรงถือพระองค์ว่าเป็น “เจ้าเหนือหัว”
แล้วจะสามารถทำการอันใดก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา

กลับทรงเป็นเยี่ยงอย่างให้ ข้าราชบริพาร ได้ปฏิบัติตาม
คือ การที่ทรงรักษาพระองค์ให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมจรรยา
และจารีตประเพณี อันดีงามทุกประการ

ทรงน้อมนำหลักธรรมของพระพุทธองค์ คือ การรักษาศีล 5 ให้ครบถ้วนอยู่เสมอ
ทั้งขณะยามปกติสุข หรือแม้ยามที่มีทุกข์ภัยมาเยือน

ข้าราชบริพาร ในพระองค์ ต้องรู้รักสามัคคี และเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์
หากทรงจับได้ว่า ผู้ใดฉ้อฉลกลโกง ภาษีอากร
แม้ว่าผู้นั้นจะมีอำนาจราชศักดิ์สักเพียงใด ก็จะต้องได้รับโทษทัณฑ์
ไม่ต่างจากไพร่ฟ้าสามัญชน คนธรรมดา

นี่คือ การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และพระราชจริยวัตร อันเที่ยงตรง
ในเจ้าหลวงพระองค์นี้
--------

เจ้าหลวง ดาราทิพย์ ประสิทธิ์ภิรมย์
ทรงนิยมรักษาอุโบสถศีล คือ ศีล 8
ณ หอคำหลวง ในคุ้มเจ้าหลวง
ตลอดพระชนม์ชีพ

ทรงนิยมสวดบท เสริมอำนาจ คือ
“บท มหาอำนาจ”  ดังนี้

“เอวัง ราชะสีโห มะหานาทัง
สินาทะนัง สิหะนาเม
สีละเตชะนามะ ราชะสีโห ฯ
อิทธิฤทธิ พระพุทธังรักษา
สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง ฯ
อิทธิฤทธิ พระธัมมังรักษา
สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง ฯ
อิทธิฤทธิ พระสังฆังรักษา
สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง ฯ”

เสกน้ำล้างหน้าทุกวันตอนเช้า จะทำให้มีสง่าราศี มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม
มีอำนาจเหนือศัตรูที่คิดหมายมาดปองร้ายให้พ่ายแพ้
ด้วยพลานุภาพแห่งพระคาถาบทนี้ วิเศษนักแล

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เจ้านางสไบทอง

เจ้านางสไบทอง
ทรงเป็นพระราชธิดาในเจ้าหลวง สไบทิพย์ แห่งอาณาจักร สิบสองจุไทย
เจ้าหลวงทรงมีพระราชภารกิจมากมาย
ส่วนหนึ่งทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านาง สไบทอง ปฏิบัติพระราชกรณียกิจ
แทนพระองค์ อาทิ การทำนุบำรุงบวรพระพุทธศาสนา
ให้เจริญรุ่งเรือง วัฒนาสถาพร ใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งเจ้าหลวง สไบทิพย์
ถึงแม้ เจ้าหลวงจะทรงเป็น “อิสตรี” แต่ก็ทรงเคยผนวชเป็น “พระภิกษุณี”
ก่อนเสด็จฯ ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ อยู่ถึง 1 พรรษา
ณ วัดดอยตอง วัดหลวง ใจกลางพระนครหลวง เชียงล้าน

เจ้านางสไบทอง เป็นพระราชธิดา พระองค์โต
ในเจ้าหลวง สไบทิพย์
และเป็นพระพี่นางเธอ แห่ง เจ้าศรีเมืองอิน
พระราชโอรส พระองค์โต ในเจ้าหลวง สไบทิพย์

เจ้านาง สไบทอง
ทรงถือครองความเป็นโสด ตราบจนลมพระทัยสุดท้าย
เนื่องด้วย ทรงต้องการให้ พระเจ้าน้องยาเธอ
ได้ขึ้นสืบต่อสันตติวงศ์ แทนพระราชมารดา

พระนางจะทรงมีพระสิริโฉมงดงาม
ทรงงามทั้งภายนอกพระวรกาย และพระภายในพระทัย
เจ้าหลวง สไบทิพย์ พระราชทานข้าวของ ทรัพย์สินศฤงคาร
ต่างๆ มากมาย แก่พระราชธิดา
แต่หากมิทรงรับไว้เพื่อความ พระเกษมสำราญ แห่งพระองค์เลย
กลับส่งสะสมไว้ที่ “พระคลังข้างที่” ส่วนพระองค์
เพื่อยามบ้านเมืองมีภัย ศึกสงครามเหนือ ใต้
จะได้นำออกมาใช้ได้ โดยฉับพลัน

พระนางทรงนำทรัพย์ส่วนพระองค์มาเป็นเงินค่าใช้จ่าย
ในการซื้อหาอาวุธยุทธปัจจัยที่จำเป็นต่อการรบ
และการบำรุงเยียวยารักษาขวัญกำลังของทหารหาญ
และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสงคราม

หรือแม้ในยามข้าวยาหมากแพง หรือเกิดเหตุการณ์อุทกภัย
ก็ทรงนำเงินทองมาไว้ซื้อ ข้าวปลาอาหาร
เพื่อเสด็จฯ พระราชกุศล (บริจาค)
ให้แก่ประชาชน ที่อดอยากหิวโหย

ยังความปลาบปลื้มปีติยินดี แด่ไพร่ฟ้าหน้าใส
ทุกหมู่เหล่า ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
เป็นล้นพ้น

เมื่อเจ้านาง สไบทอง ทรงเสด็จฯ สู่สวรรคาลัย
จึงยังความเศร้าโศกาอาดูร แก่พสกนิกรชาวสิบสองจุไทย
เป็นยิ่งนัก ปวงชนต่างไว้อาลัยด้วยการทำความดี
ตามกำลังความสามารถของตนเอง
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่เจ้านาง สไบทอง
ผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพสกนิกร ชาวสิบสองจุไทย

เกร็ดเล็กๆ ที่นางข้าไท แห่งเจ้านาง สไบทอง
เล่าขานกันอย่างทั่วไปว่า ทรงนิยมสวดพระคาถา
ให้แก่พระองค์เอง และพระราชมารดา 
เพื่อบูชาความเป็นสิริมงคล และปัดเป่าทุกข์ภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในเรือนตน
คือ บทสวดที่มีชื่อว่า “อิติปิโสนพคุณ”
ดังนี้
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง อะระหัง
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง วิชชา จะระณะ สัมปันโน
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง สุคะโต
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง โลกะวิทู
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง สัตถา เทวะมะนุสสานัง
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง พุทโธ
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง ภะคะวาติ ฯ


ไว้อาลัยแด่ อากง

ไว้อาลัยแด่ อากง
บุคคลผู้ซึ่งได้ชื่อว่า ปู่ หรือพ่อของพ่อ
แต่พ่อเราเรียกท่านว่า อา
หาใช่ลูกคนอื่นที่เรียกท่านว่า พ่อ

อากง เดินทางมาจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเท้า
ค่อยๆ ร่อนเร่พเนจรจากถิ่นฐานบ้านเกิด แถบมณฑลกว่างสี
ใครจะไปรู้ว่าท่านจะมาพบรักกับหญิงชาวบ้านป่าบ้านดอย
เฉกเช่นคุณย่า ที่เป็นชาวไทยลื้อ หรือไตลื้อ

คุณย่า ท่านไว้ผมยาวถึงก้น
เพราะไม่เคยตัด เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของท่าน
หรืออาจจะตัดบ้าง แต่ก็ยังคงไว้ตามธรรมเนียมเดิม
เหมือนนางเอกในเรื่อง มาเมียะ
หล่อนเป็นสาวชาวไทยลื้อ กระมัง
เราไม่เคยเห็นคุณย่า เพราะท่านเสียชีวิต นานมากแล้ว
ตั้งแต่พ่ออายุได้ประมาณ 5 ขวบ

อากง ไม่ค่อยรักพ่อ สักเท่าไร
อาของพ่อ เป็นคนพาท่านมาจากฝั่งพม่า
เมื่อเกือบ 50 กว่าปีที่แล้ว
ตอนเด็กพ่อเล่าให้ฟังว่า คุณอาคนเล็กของพ่อ
พาพ่อนั่งรถจิ๊บ ข้ามแม่น้ำโขงที่แห้งขอดในฤดูแล้ง
สายคงคา ไร้นที กลับกลายเป็นหาดทรายทอดยาวหลายกิโลเมตร
ตอนเด็ก พ่อวิ่งเล่นข้ามหาดทรายนี้ไปมา
ระหว่างฝั่งไทย และพม่า

อากง ไม่รับว่าพ่อ เป็นลูก แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้
เพราะหน้าตาของพ่อ เหมือนอากง มากเลย
มีคนว่า ลูกชายหน้าเหมือนพ่อแล้วจะอาภัพอับโชค
เห็นท่าว่าจะจริง

พ่อมีจมูกเรียวยาว เหมือนอากง
ปากคมบาง ตาคมเหมือนคุณย่า
ตัวเล็กตามแบบฉบับ คนจีนในเผ่าของเรา

ถึงแม้ว่า อากงจะไม่รักพ่อเท่าไร
แต่สายสัมพันธ์พ่อลูก ก็ตัดกันไม่ขาด
อากงเป็นคนเจ้าชู้ ท่านแต่งงานใหม่
มีลูกอีก 5 คน
ทุกคนได้สมบัติไปพอสมควร
แต่อากง ไม่ได้ให้พ่อสักแดงเดียว
เพราะ พ่อไม่ใช่ ลูกมีแม่ เหรอ
ท่านจึงไม่สนใจไยดี
แต่เรายอมรับชะตากรรมของพ่อได้ครับ
ไม่ผิดที่คนเราต้องรับกรรมที่เคยก่อ
ขอให้จบลงแต่เพียงชาตินี้ เถิดครับ
เราขออโหสิกรรม และขอให้โปรดยกโทษในผิดบาปที่เคยทำไว้
คาถาหลั่งน้ำ อโหสิกรรม แด่เจ้ากรรมนายเวร

สาธุ สาธุ ผู้ข้า หลั่งน้ำ ลงเหนือแผ่นดินแม่พระธรณี
ขอให้ พระแม่ธรณี มาช่วยค้ำ
ขอให้ พระยานาคราช นาคเทวี อยู่ในน้ำ มาช่วยชู
สัตว์ตัวสั้น ตัวรี     สัตว์ตัวพี และตัวผอม
สัตว์ตัวหอม และตัวเหม็น   สัตว์ตัวเป็น และตัวตาย
มีหม้อนรก ตั้งไว้เป็นแดน
ขอให้ข้าพเจ้า หลีกเว้น สามแสนสี่หมื่น ภูเขากล้า
เกิดอยู่กลางเมือง ขอให้เงินและคำ รุ่งเรืองมาฮอด
ขอให้ผู้ข้า ได้กอดบุญ กอดทาน
ฝูงหมู่มาร อย่าได้มาข้อง
ฝูงพี่น้อง วงศา ฝูงอาวอา และพ่อแม่
ฝูงเฒ่าแก่ และตายาย
ฝูงหมู่ตายไปแล้ว
ให้ไปฮอดไปถึง ทุกองค์ ทุกหมู่ ทุกตน
ปัจจัยโย โหตุฯ


“ยายแม้น”


ยายแม้น
แกมีอาชีพหาบเร่ขายของใช้ของเล่น ตามเส้นทางจากวังหลวงไปหาวัดใหญ่ชัยมงคล
ยายแม้น แกมีลูกคนเดียวชื่อ มานะ
ตอนเด็กเลี้ยงยาก หมอดูบอกว่าให้พาไปให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดใหญ่ฯ
ท่านประพรมน้ำมนตร์ และเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น มานะดีตั้งแต่นั้นมาก็เลี้ยงง่ายเป็นคนละคน

ยายแม้น แกบทสวดให้ขายของดีชื่อว่า คาถาแม่นางกวัก
แกจะสวดทุกเช้าก่อนเดินทางออกไปขายของ
โอมมหาสิทธิโชค อะ อุ โอม บรมปู่เจ้าเขาเขียว มีลูกคนเดียวให้ชื่อว่า นางกวัก
ชายเห็นชายรัก หญิงเห็นหญิงรัก ประสิทธิ์ให้แก่กู คนรู้จักถ้วนหน้า
โอมพวกพ่อค้าพากูไปถึงเมืองแมน กูได้หัวแหวนพันทะนาน
กูค้าสารพัดการก็ได้กำไรแคล่วคล่อง กูจะค้าทอง ทองก็ได้เต็มหาบ
เพียงวันนี้เป็นร้อย สามหาบมาเรือน สามเดือนเป็นเศรษฐี สามปีเป็นพ่อค้าสำเภา
พระฤๅษีเจ้าประสิทธิ์ให้แกลูกคนเดียว สวาหะฯ
แกบ่นพรึมพรำ อยู่หลายหน จึงนำน้ำมนตร์ตรงหน้าไปประพรมข้าวของที่แกขาย

ยายแม้น ขายของหาบเร่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าราวกับเปิดโรงทาน ก็มิปาน
จนเวลาล่วงเลยได้ 3 ปี แกก็เก็บหอมรอมริบจนได้เงินก้อนหนึ่ง
พอที่จะไปเช่าที่เพื่อตั้งร้านค้าอยู่ที่ตลาดหน้าวัดใหญ่ชัยมงคล

ลูกชายที่ชื่อ มานะดี จบการศึกษาเปรียญ 9 ประโยค สึกออกมาช่วยแม่ ทำมาค้าขาย

มานะดี มีมานะดีสมชื่อ ตอนบวชเรียนอยู่ที่วัดใหญ่ฯ
หลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านให้เป็นคนสอนหนังสือหนังหา ลูกศิษย์วัดที่ไม่ได้บรรพชา
 เพราะพ่อแม่ขาดเรี่ยวแรงในการทำไร่ไถนา มีเวลาเพียงสัปดาห์ละ 3 วันที่ว่าง
เด็กเหล่านั้นจึงจะมาเรียนวิชาธรรมะได้

พระมานะดี เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิท่านเจ้าอาวาส
จึงได้วิชาอาคม ภาษาขอมและการสักยันต์ มาเป็นอย่างดี
จนหลวงพ่อ ให้สักยันต์แก่ศิษยานุศิษย์แทนท่านไปหลายราย

พระมานะดี บวชจนได้ 15 พรรษา
ก็อดรนทนไม่ได้ที่ยายแม้น
โยมแม่ของตน บ่นให้ฟังอยู่เสมอยามที่ใส่บาตรเช้า
ให้แด่พระลูกว่า ขายของดี เสียจนไม่มีเวลาพักผ่อน

พระมานะดี จึงบอกว่า ปีหน้าอายุครบอุปสมบท
อยู่สัก 1 พรรษาจะขอลาสิกขา มาช่วยโยมแม่ค้าขาย

เวลานั้นมาถึง ยายแม้นแกเลยสบายขึ้นมาอีกสักหน่อย
เมื่อแกไม่ต้องขายของหาบเร่ เพราะมีที่ทางค้าขายที่มั่นคง
และมีคนช่วยแบ่งเบาภาระ
แกจึงมีเวลาสวดมนตร์สวดพรมากขึ้น

บทสวดมนตร์ที่มักจะสวดคือ บทอิติปิโส 108 จบ
แกจะสวดเช้า กลางวัน หากพอมีเวลาว่าง
และเย็น จะสวดบทใหญ่ คือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และอิติปิโสอย่างละ 108 จบ
ก็ถึงเวลาเข้านอนคือ 1ทุ่ม พอดี

แกชอบทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้า และเวลาเพล อยู่เป็นนิตย์

แกมีอายุได้ 80 ปี ก็สะสมเงินได้ก้อนหนึ่ง
พอที่จะสร้างศาลาการเปรียญ และศาลาธรรมสังเวช ได้ถึง 2 หลัง

ทีแรก ยายแม้นแกอยากบริจาคเงิน เพียงครอบครัวของแก
แต่ ท่านหลวงพ่อเจ้าอาวาส บอกว่า นี่เป็นบุญใหญ่
จึงควรบอกบุญนี้ไปให้ทั่วสารทิศ
ด้วยแจกซองเรี่ยไรเพื่อการจัดงานทอดกฐินมหากุศล เนื่องในเทศกาลออกพรรษา
ซึ่งโยมแม้น แกอยากเป็นหัวเรือใหญ่ก็จะมิขัดศรัทธา

นี่คือ ตัวอย่างชีวิตของ หญิงหม้ายที่ฝักใฝ่ทางธรรม
จึงได้ดีมีสุข ตราบลมหายใจสุดท้าย นั่นเอง

ถึงแม้ว่า เราท่านทั้งหลายจะมิได้นิยมการสวดมนตร์หรือเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม
แต่ก็สามารถน้อมนำคุณความดีต่างๆ ที่อยู่รอบตัวของเรามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
เพื่อที่จะได้มีความสุขทางใจไม่มากก็น้อย

การทำความดีมีอยู่ดาษดื่น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโลกนี้ด้วยการกินอยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ก็ดี
หรือการนำสิ่งที่ไร้คุณค่ามาก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นก็ดี
ล้วนแล้วแต่คือ การทำความดีตามแบบอย่างที่เราสามารถทำได้
โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทอง

หรือแม้แต่ การเดินทางด้วยเท้าของตัวเองจากที่หนึ่งไปยังจุดหมาย
ก็นับเป็นสิ่งดีมากมายเมื่อเทียบกับการทำความดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทน
การทำความดีโดยสุจริตใจ ไม่หวังให้คนยกย่องเยินยอ
ก็นับว่าเป็นคุณอันประเสริฐยิ่งแล้วกับเรา
คนตัวเล็กๆที่มีความสามารถไม่มากมายนักในสังคมอันกว้างใหญ่